วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Super_Dollfie#Dollfie#BJD~*DoLL

คนมักหลงเรียก BJD ผิดว่า SD, Super Dollfie หรือ Dollfie ติดปากเพราะบริษัท volks เป็นต้นตำหรับ BJD แต่เป็นการเรียกที่ไม่ถูกต้อง

***Super Dollfie - เป็นชื่อรุ่นดอลและไลน์ดอลในลิขสิทธิ์ของบริษัท Volks เท่านั้น โดยมี SD เป็นตัวย่อ และระบุเลขตามท้าย เช่น MSD, SD10, SD13, SD16, SD17 ตัวเลขเป็นการบอกขนาดรุ่นของดอลค่ะ


***Delf (เป็นชื่อรุ่นDollของ LUTS) กรุณาอย่าเรียกชื่อรุ่นของDollผิดนะคะ มิฉะนั้นอาจจะถูกตำหนิได้ ดังนั้นถ้าเรียกรุ่นไม่ถูกก็ควรเรียกรวมๆ เป็น doll หรือ BJDค่ะ


ถ้าเป็นบริษัทอื่นนอกจาก Volks เขาก็มีชื่อไลน์ดอลและรุ่นของเขาเอง โดยไม่เรียกว่า SD หรือ Super Dollfie ยกตัวอย่างเช่น LUTS ก็จะเป็นตระกูล Delf เช่น Delf <57-60> SDF ( Senior Delf ) <60-62>, Kid Delf <> Honey Delf, Zuzu Delf สังเกตว่าจะเป็น Delf หมดค่ะ ไม่มีการเรียกว่า SD หรือ Super Dollfie คนที่เล่นดอลของ LUTS ก็จะเรียกดอลของตัวเองว่า Delf เช่นกัน

***D.O.D จะแบ่งรุ่นเป็น
1--->D.O.T <> ขนาด 60-64 cm.
2--->D.O.C <> ขนาด 45 cm โดยประมาณ

3--->D.O.I <> ขนาด 70 cm.


4--->Dollsoom ตั้งชื่อไลน์ดอลเป้นตระกูล Gem แบ่งเป็น
4.1--->Gem <60>
4.2--->Super Gem <65>
4.3--->Little Gem <45>

สรุป คำว่า Super Dollfie และ Dollfie ไม่ใช่คำที่ใช้เรียก BJD โดยสากลนะคะ ใช้แค่กับดอลของ Volks เท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ชมซากุระในเมืองไทย



งดงามเกินคำบรรยาย สำหรับการเบ่งบานของดอกซากุระเมืองไทยหรือดอกนางพญาเสือโคร่ง ที่ อุทยานแห่งชาติขุนสถาน จ.น่าน

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความหมายของธงเจ


ในช่วงเทศกาลกินเจ เราจะสังเกตเห็นธงประจำเทศกาล โดยมีพื้นธงเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับคนสองกลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มกษัตริย์ ราชวงศ์ และกลุ่มอาจารย์ปราบผี ดังจะเห็นจากยันต์สีเหลืองตามภาพยนตร์จีน ดังนั้นสีเหลืองจึงเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล บนธงจะเขียนตัวอักษรสีแดง อ่านว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" เหตุที่ใช้สีแดง เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นสีมงคง สร้างความเจริญให้แก่ชีวิต


ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของชา


1. ชาร้อนๆ จะทำให้สารที่เป็นประโยชน์ คือ “คาเทคชินส์” ถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพและยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น


2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี แต่หากผ่านการทำให้ร้อนปริมาณสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายเช่นกัน


3. ชาร้อน หรือชาเย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย


4. ผู้รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสารสำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย


5. โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือ “แทนนิน” จะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จึงมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ขาดสารอาหาร


6. ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง คือ มีฟลูออไรด์ในปริมาณค่อนข้างสูง ทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ถ้าดื่มไม่มากก็ไม่ต้องกังวล


7. ใบชามีสารที่ชื่อว่า “ออกซาเลท” แม้จะมีอยู่น้อย แต่หากดื่มชามากๆ และดื่มบ่อยๆ เป็นประจำ สารนี้จะสะสมในร่างกาย เป็นอันตรายต่อไต


8. ใบชามีสารกาเฟอีนสูง อาจสูงกว่ากาแฟด้วยซ้ำ เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากชาจะป้องกันหรือลดการดูดซึมของกาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมาก