วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553
อติพจน์
วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553
Charles de Montesqieu
มองเตสกิเออร์กล่าวไว้อย่างน่าเชื่อถือว่าการมองอำนาจทางการเมืองจากความเป็นจริงว่ามีแนวโน้มที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิดจากผู้มีอำนาจในมือทำให้เกิดการลดการตัดสินใจและการเพิ่มเติมระเบียบของกฎหมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่เพียงในด้านความปลอดภัยส่วนตัวและพลประโยชน์ของพลเมืองเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชน์และข้อได้เปรียบจากการแข่งขันที่มีต่อรัฐด้วย
วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกรีส – ยูเฟรทีส
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรทีสหรือ เมโสโปเตเมีย เป็นอู่อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสมัยโบราณ โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือแม่น้ำไทกรีส (Tigris) และแม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates) ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในเขตแดนของประเทศอิรักซึ่งมีกรุงแบกแดด เป็นเมืองหลวง แม่น้ำทั้ง 2 สายมีต้นน้ำอยู่ในอาร์มีเนีย และเอเซียไมเนอร์ไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวเปอร์เซีย บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส และยูเฟรตีส ตอนล่างเรียกว่าบาบิโลเนีย (Babylonia) เป็นเขตซึ่งอยู่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย
อาณาบริเวณที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย อาณาเขตติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ทะเลดำ และทะสาบแคสเปียน
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ติดต่อกับ คาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งล้อมรอบด้วยทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ที่ราบซีเรีย และปาเลสไตน์
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ที่ราบสูงอิหร่าน
**บริเวณแม่น้ำ ไทกริส-ยูเฟรติส หรือบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ในอดีตเป็นดินแดนที่มีร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองมาก่อน จนกลายเป็นอู่อารยธรรมของโลก ดินแดนแห่งนี้เป็นเขตที่มีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีแม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกัน จึงเหมาะต่อการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ จึงมีชื่ออีกอย่างว่าหนึ่ง ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ (The Fertile Crescent) หรือวงโค้วแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือที่รู้จักกัน คือ ดินแดนเมโสโปเตเมีย
ดินแดนเมโสโปเตเมีย
ได้พบหลักฐานที่ยืนยันว่าดินแดนบริเวณนี้เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณในแถบเอเชียไมเนอร์ สองฝั่งแม่น้ำทั้งสองเป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ ตั้งแต่ ฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งที่ไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย เป็นแหล่งที่มีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ เช่นเดียวกับประเทศอียิปต์ และผู้ที่เข้าครอบครองดินแดนแถบนี้ส่วนมากจะเป็นพวกเร่ร่อนในทะเลทราย ถ้ากลุ่มใดเข้มแข็งก็มีอำนาจปกครองอาณาบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ พวกที่อ่อนแอก็จะเร่ร่อนต่อไป หรืออยู่ในอำนาจผู้ที่แข็งแรงกว่า การปกครองแต่ละเมืองจึงเป็นแบบนครรัฐ มีอิสระ ชนชาติต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในแถบนี้มีหลายเผ่าพันธุ์ กลุ่มชนต่างๆ ที่สร้างสรรค์อารยธรรมและมีหลักฐานปรากฏอยู่ คือ
1. ชาวสุเมเรียน (Sumerians)
2. ชาวอมอไรต์ (Amorites)
3. ชาวอัสซีเรียน (Assyrian)
4. ชาวคาลเดียน (Chaldeans)
วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553
Jean Jacques Reusseau
มีความคิดที่ขัดแย้งกับสภาพสังคมร่วมสมัยว่ามีแต่ความเสแสร้ง ฟุ้งเฟ้อ และบิดเบือน จนทำให้มนุษย์ไม่เป็นตัวของตัวเองและพยายามไขว่คว้าสิ่งจอมปลอมเหล่านั้น เขาชื่นชมในวิถีชีวิตในสมัยดึกดำบรรพ์ที่เรียบง่ายมีอิสระอย่างแท้จริง รุสโซ่ได้เสนอสังคมในอุดมคติไว้ในหนังสือ Social Contract ในปี ค.ศ.1762 ที่ให้ความสำคัญต่อเสรีภาพ ฉะนั้นสังคมและรัฐที่ดีจะต้องเคารพต่อเสรีภาพของประชาชน และเพื่อป้องกันการเผด็จการที่ไร้เสรีภาพมนุษย์ต้องเข้าร่วมก่อตั้งชุมชนทางสังคม (Social community) หรือรัฐขึ้นมาใหม่เพื่อให้เกิดความสงบและสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยชุมชนทางการเมืองหรือรัฐตามแนวคิดของรุสโซ่จะมีลักษณะที่เป็นประชาธิปไตรที่ยึดหลักเจตนารมณ์ทั่วไป (General Will) อันเป็นเจตนารมณ์ที่มีเหตุผลเป็นพื้นฐาน ทำให้รัฐต้องปฏิบัติหน้าที่ทั้งปวงตามเจตนารมณ์ของประชาชนและเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงเป็นเพียงองค์กรที่มีหน้าที่ดำเนินนโยบายให้เป็นไปตามความต้องการที่แท้จริงของประชาชนส่วนใหญ่และให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนส่วนรวม
สัญญาประชาคมตามความหมายของรุสโซ่จึงหมายถึงการที่เอกชนทุกคนยอมยกสิทธิตามธรรมชาติของตนให้กับองค์อธิปัตย์ซึ่งก็คือเจตนารมณ์ทั่วไป หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการมอบสิทธิตามธรรมชาติให้กับชุมชนส่วนรวม (Community) แต่การมอบสิทธิตามธรรมชาตินี้ไม่ได้ทำให้เอกชนเหล่านั้นต้องสูญเสียสิทธิตามธรรมชาติลงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม ประชาชนเหล่านั้นกลับได้รับสิทธิที่ยิ่งใหญ่กว่ากลับคืนมา ในฐานะที่สิทธิตามธรรมชาติของตนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเจตนารมณ์ทั่วไป จึงกล่าวได้ว่า การมอบสิทธิตามธรรมชาติของตนให้แก่รัฐนั้น แท้จริงก็เพื่อที่จะได้รับสิทธิกลับคืนมาในฐานะเจตนารมณ์ที่ไป
การปกครองที่ยึดหลักเจตนารมณ์ทั่วไปที่มุ่งสร้างความดีแก่ทุกคนในรัฐจะทำให้ผู้ปกครองปราศจากการสร้างผลประโยชน์เกิดขึ้นเฉพาะกับกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง รวมทั้งเพื่อตนเอง และเมือกราปกครองไม่ได้เป็นไปเพื่อบุคคลใดหรือกลุ่มใคเป็นพิเศษก็จะทำให้การปกครองระบบเผด็จการณ์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้